มังกรกับความเชื่อตามหลักฮวงจุ้ย
มังกร ตามความเชื่อของคนจีนที่ คิดค้นมาเพื่อแสดงความเป็นสัญลักษณ์ของการรวมชนชาติจีน
เนื่องจากในอดีตนั้น จีนมีคนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอยู่เป็นจำนวนมาก ชนเผ่าต่างๆ กันนั้นมีวัฒนธรรมต่างๆกันไป จึงทำให้สัตว์ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของเผ่านนั้นต่างกันไปด้วย เมื่อมีการรวมชนชาติจีนก็จึงได้มีการนำเอาตัวแทนของสัตว์ประจำเผ่าต่างๆมา รวมกัน เช่น ลำตัวของงู หูของวัว หัวของหมู เขาของกวาง หนวดของแพะ เกล็ดของปลา และ อุ้งเท้าของเหยี่ยว จนได้มาเป็นตัวมังกรอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ตามความเชื่อของคนจีนนั้นมังกรเป็นสิ่งที่มีพลังสูงสุด สามารถนำความอุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรือง ความเป็นมงคล รวมไปถึงคุ้มครองพวกเขาได้ จนในยุคหลังๆนั้น มีการนำมังกรมาใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์หรือฮ่องเต้ จึงเรียกฮ่องเต้กันว่าเป็น “ลูกหลานของมังกร” หรือ “โอรสสวรรค์” ตามที่เราได้ยินอยู่บ่อยๆนั่นเองครับ
จากสาเหคุนี้ทำให้จึงได้นำเอา “มังกร” มาใช้กับหลักฮวงจุ้ย โดยเชื่อว่ามังกร คือ “จุดจ่ายกระแสพลังที่ยิ่งใหญ่” หรือ “พลังงานธรรมชาติ” โดยถูกนำไปเปรียบเทียบกับพลังงานที่ได้จาก “กระแสน้ำ” เนื่องจากน้ำนั้นหลากไหลไม่เคยหยุด และเมื่อน้ำไหลมาก็พาพลังมาได้หรือให้เราลองคิดง่ายๆว่าหากเราเอาใบไม้ไปลอยไว้ ในน้ำนั้น ใบไม้เคลื่อนไหวตามน้ำไปได้ก็เพราะมีพลังงานที่พาไปนั่นเอง ดังนั้น “มังกรน้ำ” จึงถือว่าเป็น “จุดจ่ายกระแสพลัง” ที่เป็นมงคลมากๆ หรือหากลองสังเกตุเวลาที่เราไปตามแม่น้ำ น้ำตก จะรู้สึกว่าสบายและผ่อนคลาย นั่นก็เพราะกระแสน้ำนั้นมี “พลังปราณ” ที่เสริมพลังชีวิตของร่างกายเราได้ สอดคล้องตามหลักการของนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าการที่น้ำเคลื่อนไหวทำให้สามารถส่ง “อิออนลบ” ออกมาเพื่อมาเสริมพลังชีวิตของเรา
เลยเป็นที่มาของการเลือกทำเลการอยู่อาศัยของคนจีนหรือซินแสในสมัยก่อนที่ นิยมการเลือกทำเลที่อยู่ริมน้ำนั่นเอง แต่การอยู่ริมน้ำนั้นก็ยังไม่ได้แปลว่าเป็นมงคลเสมอไปครับ เพราะแท้จริงแล้วเราต้องการ “ชัยภูมิที่ดี” ที่นอกจากเห็นจุดจ่ายกระแสพลังแล้ว ยังต้องสามารถสะสมกระแสพลังได้ด้วย เราจึงเคยได้ยินการเลือกทำเลริมน้ำที่ว่า “โค้งโอบดีกว่าโค้งเฉือน” นั่นก็เพราะว่ากระแสน้ำโค้งโอบนั้นจะส่งพลังเข้ามาที่ฝั่งในโค้งได้อย่าง นุ่มนวลกว่า แต่ที่สิ่งสำคัญกว่าในหลักของชัยภูมินั่นคือ “กระแสมามากๆ กระแสไปน้อยๆ” คือเราควรเห็นกระแสน้ำนั้นไหลมาแต่ไกล แต่เวลาไปเห็นเพียงนิดเดียว นั่นจึงแปลว่าเรามี “มังกรน้ำที่เป็นมงคล” ได้อย่างแท้จริง
คราวนี้ก็คงมีคำถามว่าแล้ว “มังกรภูเขา” นี่มีได้อย่างไรใช้หรือไม่ครับ เพราะดูแล้วก็ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวของกระแสพลังแต่อย่างใด จริงๆแล้ว “มังกรภูเขา” นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่มีพลังไม่แพ้ “มังกรน้ำ” ทีเดียวครับ เพราะการที่เกิดเขานั้นเป็นเพราะว่าพลังที่อยู่ใต้ดินนั้นอัดแน่นจนกระทั่ง ผิวดินของโลกนั้นรับพลังไม่ไหว จึงดันผิวดินนั้นออกมาจนปูดนูนเป็นภูเขานั่นเอง หรือบางครั้งก็เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกจนมาขบกันเป็นแนวเขา จึงถือว่าภูเขานั้นมีพลังซ่อนแฝงภายในอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน แต่การดูมังกรภูเขานั้นต้องใช้ความเชี่ยวชาญมาก ต้องดูแนวสันเขาที่สวยงามเป็นทิวที่โค้งสวย มีหลายทิวเรียงเชื่อมต่อกันหลายๆ ทิวภูเขานั้นก็ต้องเขียวชะอุ่มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าที่สมบูรณ์ ถือว่าเป็นมังกรภูเขาที่มีคุณภาพดี
ซึ่งการเลือกตำแหน่งของมังกรภูเขาที่มีคุณภาพนั้นก็เลือกยากเช่นเดียวกัน เพราะการอ่านว่า “หัวมงกร” อยู่ตรงไหนนั้นเป็นเรื่องต้องอาศัยประสบการณ์และจินตนาการสูงเหมือนกัน เพราะโดยทั่วไปเรามักจะเข้าใจผิดว่าตำแหน่งที่สูงๆบนเขานั้นดี แต่การเลือกตำแหน่งบนเนินเขาสูงนั้นกลับต้องระวังเพราะโดยทั่วไปแล้วหากเรา ยังเห็นแนวสันเขาไหลเป็นทิวลงไปอยู่ ก็แสดงว่าพลังนั้นยังไหลไปไม่หยุด
การเลือกทำเลบนเนินสูงนั้นเปรียบเสมือนกับเป็น “หางของมังกร” เท่านั้น การดู “หัวมังกร” นั้นกลับต้องเลือกทำเลที่ต่ำหรือเป็นแอ่งเพื่อให้สะสมพลังได้ หรือถ้าให้ดีเยี่ยมการที่เจอแอ่งน้ำหรือสายน้ำผ่านบริเวณตีนเขานั่นแปลว่า จุดนั้นเป็นจุดที่ต่ำที่สุดที่พลังไหลรวมมา หรือเป็น “หัวของมังกรภูเขา” นั่นเอง จึงเป็นที่มาของชัยภูมิที่ว่า “หน้าน้ำหลังภูเขา”
ซินแสในปัจจุบันใช้หลักการของการหาจุดจ่ายกระแสพลังจาก แนวถนน ทางด่วน จุดตัดทางแยก ช่องลม ทางรถไฟฟ้า สนามบิน ฯลฯ ได้หลายทางโดยที่มีคุณภาพไม่แพ้กับมังกรน้ำและมังกรภูเขาครับ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือท่านควรได้รับการประเมินฮวงจุ้ยด้านองศาทิศทาง (Compass Feng Shui Theory) ควบคู่กันไปด้วย เพื่อจะได้เลือกทำเลที่เป็นมงคลกับท่านและสมาชิกในครอบครัวให้เกิด มงคลสูงที่สุด
มังกร ตามความเชื่อของคนจีนที่ คิดค้นมาเพื่อแสดงความเป็นสัญลักษณ์ของการรวมชนชาติจีน
เนื่องจากในอดีตนั้น จีนมีคนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอยู่เป็นจำนวนมาก ชนเผ่าต่างๆ กันนั้นมีวัฒนธรรมต่างๆกันไป จึงทำให้สัตว์ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของเผ่านนั้นต่างกันไปด้วย เมื่อมีการรวมชนชาติจีนก็จึงได้มีการนำเอาตัวแทนของสัตว์ประจำเผ่าต่างๆมา รวมกัน เช่น ลำตัวของงู หูของวัว หัวของหมู เขาของกวาง หนวดของแพะ เกล็ดของปลา และ อุ้งเท้าของเหยี่ยว จนได้มาเป็นตัวมังกรอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ตามความเชื่อของคนจีนนั้นมังกรเป็นสิ่งที่มีพลังสูงสุด สามารถนำความอุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรือง ความเป็นมงคล รวมไปถึงคุ้มครองพวกเขาได้ จนในยุคหลังๆนั้น มีการนำมังกรมาใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์หรือฮ่องเต้ จึงเรียกฮ่องเต้กันว่าเป็น “ลูกหลานของมังกร” หรือ “โอรสสวรรค์” ตามที่เราได้ยินอยู่บ่อยๆนั่นเองครับ
จากสาเหคุนี้ทำให้จึงได้นำเอา “มังกร” มาใช้กับหลักฮวงจุ้ย โดยเชื่อว่ามังกร คือ “จุดจ่ายกระแสพลังที่ยิ่งใหญ่” หรือ “พลังงานธรรมชาติ” โดยถูกนำไปเปรียบเทียบกับพลังงานที่ได้จาก “กระแสน้ำ” เนื่องจากน้ำนั้นหลากไหลไม่เคยหยุด และเมื่อน้ำไหลมาก็พาพลังมาได้หรือให้เราลองคิดง่ายๆว่าหากเราเอาใบไม้ไปลอยไว้ ในน้ำนั้น ใบไม้เคลื่อนไหวตามน้ำไปได้ก็เพราะมีพลังงานที่พาไปนั่นเอง ดังนั้น “มังกรน้ำ” จึงถือว่าเป็น “จุดจ่ายกระแสพลัง” ที่เป็นมงคลมากๆ หรือหากลองสังเกตุเวลาที่เราไปตามแม่น้ำ น้ำตก จะรู้สึกว่าสบายและผ่อนคลาย นั่นก็เพราะกระแสน้ำนั้นมี “พลังปราณ” ที่เสริมพลังชีวิตของร่างกายเราได้ สอดคล้องตามหลักการของนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าการที่น้ำเคลื่อนไหวทำให้สามารถส่ง “อิออนลบ” ออกมาเพื่อมาเสริมพลังชีวิตของเรา
เลยเป็นที่มาของการเลือกทำเลการอยู่อาศัยของคนจีนหรือซินแสในสมัยก่อนที่ นิยมการเลือกทำเลที่อยู่ริมน้ำนั่นเอง แต่การอยู่ริมน้ำนั้นก็ยังไม่ได้แปลว่าเป็นมงคลเสมอไปครับ เพราะแท้จริงแล้วเราต้องการ “ชัยภูมิที่ดี” ที่นอกจากเห็นจุดจ่ายกระแสพลังแล้ว ยังต้องสามารถสะสมกระแสพลังได้ด้วย เราจึงเคยได้ยินการเลือกทำเลริมน้ำที่ว่า “โค้งโอบดีกว่าโค้งเฉือน” นั่นก็เพราะว่ากระแสน้ำโค้งโอบนั้นจะส่งพลังเข้ามาที่ฝั่งในโค้งได้อย่าง นุ่มนวลกว่า แต่ที่สิ่งสำคัญกว่าในหลักของชัยภูมินั่นคือ “กระแสมามากๆ กระแสไปน้อยๆ” คือเราควรเห็นกระแสน้ำนั้นไหลมาแต่ไกล แต่เวลาไปเห็นเพียงนิดเดียว นั่นจึงแปลว่าเรามี “มังกรน้ำที่เป็นมงคล” ได้อย่างแท้จริง
คราวนี้ก็คงมีคำถามว่าแล้ว “มังกรภูเขา” นี่มีได้อย่างไรใช้หรือไม่ครับ เพราะดูแล้วก็ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวของกระแสพลังแต่อย่างใด จริงๆแล้ว “มังกรภูเขา” นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่มีพลังไม่แพ้ “มังกรน้ำ” ทีเดียวครับ เพราะการที่เกิดเขานั้นเป็นเพราะว่าพลังที่อยู่ใต้ดินนั้นอัดแน่นจนกระทั่ง ผิวดินของโลกนั้นรับพลังไม่ไหว จึงดันผิวดินนั้นออกมาจนปูดนูนเป็นภูเขานั่นเอง หรือบางครั้งก็เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกจนมาขบกันเป็นแนวเขา จึงถือว่าภูเขานั้นมีพลังซ่อนแฝงภายในอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน แต่การดูมังกรภูเขานั้นต้องใช้ความเชี่ยวชาญมาก ต้องดูแนวสันเขาที่สวยงามเป็นทิวที่โค้งสวย มีหลายทิวเรียงเชื่อมต่อกันหลายๆ ทิวภูเขานั้นก็ต้องเขียวชะอุ่มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าที่สมบูรณ์ ถือว่าเป็นมังกรภูเขาที่มีคุณภาพดี
ซึ่งการเลือกตำแหน่งของมังกรภูเขาที่มีคุณภาพนั้นก็เลือกยากเช่นเดียวกัน เพราะการอ่านว่า “หัวมงกร” อยู่ตรงไหนนั้นเป็นเรื่องต้องอาศัยประสบการณ์และจินตนาการสูงเหมือนกัน เพราะโดยทั่วไปเรามักจะเข้าใจผิดว่าตำแหน่งที่สูงๆบนเขานั้นดี แต่การเลือกตำแหน่งบนเนินเขาสูงนั้นกลับต้องระวังเพราะโดยทั่วไปแล้วหากเรา ยังเห็นแนวสันเขาไหลเป็นทิวลงไปอยู่ ก็แสดงว่าพลังนั้นยังไหลไปไม่หยุด
การเลือกทำเลบนเนินสูงนั้นเปรียบเสมือนกับเป็น “หางของมังกร” เท่านั้น การดู “หัวมังกร” นั้นกลับต้องเลือกทำเลที่ต่ำหรือเป็นแอ่งเพื่อให้สะสมพลังได้ หรือถ้าให้ดีเยี่ยมการที่เจอแอ่งน้ำหรือสายน้ำผ่านบริเวณตีนเขานั่นแปลว่า จุดนั้นเป็นจุดที่ต่ำที่สุดที่พลังไหลรวมมา หรือเป็น “หัวของมังกรภูเขา” นั่นเอง จึงเป็นที่มาของชัยภูมิที่ว่า “หน้าน้ำหลังภูเขา”
ซินแสในปัจจุบันใช้หลักการของการหาจุดจ่ายกระแสพลังจาก แนวถนน ทางด่วน จุดตัดทางแยก ช่องลม ทางรถไฟฟ้า สนามบิน ฯลฯ ได้หลายทางโดยที่มีคุณภาพไม่แพ้กับมังกรน้ำและมังกรภูเขาครับ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือท่านควรได้รับการประเมินฮวงจุ้ยด้านองศาทิศทาง (Compass Feng Shui Theory) ควบคู่กันไปด้วย เพื่อจะได้เลือกทำเลที่เป็นมงคลกับท่านและสมาชิกในครอบครัวให้เกิด มงคลสูงที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ผู้เชิดสิงโต โดยเฉพาะผู้เข้าร่วมแข่งขันกีฬาเชิดสิงโต ควรมีความรู้เกี่ยวกับกติกาเป็นอย่างดี
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น