หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ตำนานการแสดงเองกอพะบู๊ ภาคสมบรูณ์

       ตำนานเองกอพะบู๊เริ่มเมื่อแปดร้อยปีมาแล้ว ราชอาณาจักรจีน ในรัชสมัยพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เกิด โรคระบาดพรากชีวิตผู้คนไปเป็นอันมาก พระเจ้าซ้องยินหยินจงฮ่องเต้ทรงโปรด ให้อังซินขุนนางตำแหน่งไทอวยเดินทาง ไปอัญเชิญนักพรวิเศษเตียฮีเจ็งเชียนชือ ณสำนักวัดเขาเกาเล่งซัวมาช่วยหลังจาก บรรจุหน้าที่แล้วระหว่างทางขากลับอังซิน ผ่านตำแหน่ง เก๋ง แห่งหนึ่ง สลักชื่อไว้ว่า ตำหนักขังปิศาจ ด้วยความกระหายใคร่รู้ จึงแกะยันต์ที่ติดอยู่หน้าเก๋งทิ้งและ เปิด เข้าไปโดยพลการทันใดนั้นเองก็มีควันดำ พวยพุ่งออกมาทางประตูลอยขึ้นไปอยู่บน อากาศแล้วแตกกระจายแปดทิศที่แท้ใน เก๋งขังดวงจิตดาวทหารที่ดุร้ายถึงร้อย แปดคนชื่อดาว"เทียมกังแซ"36ชื่อดาว "ตีลัว"72รวม 108 ดวง ถูกขังมิ ให้ไปเกิด จากกลัวรบกวนไพร่ฟ้าประชาชนพลเมือง ให้ได้รับความ เดือดร้อน วิญญาณดุร้ายทั้งร้อยแปดดวงจึงได้โอกาสไปจุติ เป็น"ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน"หลังจากพระ เจ้าซ้องยินจงสวรรคตแล้วการเมืองการปกครอง เริ่มเสื่อมทรามลงทุกทีในราชสำนักและวงการ ขุนนางมีแต่ขุนนางฉ้ออำมาตย์มารกดขี่ข่มเหง ราษฎรสังคมก็ปั่นป่วนวุ่นวายมือใครยาวสาวได้ สาวเอาเหล่านักบู๊เทอดทูนคุณธรรมยิ่งชีวิตต่าง ถูกบีบคั้นถูกกลั่นแกล้งเหลืออดเหลือทนในที่สุด จึงรวมตัวกันรวบรวมเอาเหล่านักบู๊ผู้เลิศวิทยา ยุทธทั้ง 108 คน เป็นผู้ใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน ทำการก่อกบฏปล้นขุนนางขี้ฉ้อปล้นคหบดีนำมา แจกจ่ายคนจนคนตกทุกข์ได้ยากความขัดแย้งรุน แรงขึ้นเรื่อยๆจนขยายตัวเป็นสงครามระหว่าง กองโจรกับกอง ทหารหลวง ตำนาน "ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน" ใช้เค้าโครงจากวรรณคดีจีนเรื่อง"ซ้องกั๋ง" ซึ่งเป็นวรรณคดีร้อยแก้วมีลักษณะเป็นการ เล่าได้เรียบเรียงขึ้นเป็นเรื่องราวยืดยาวมี รสมีชาติยิ่งนักแต่ซือไน่อานเขียนไว้เพียง เจ็ดสิบบทมา"หลังกว้านจง"ลูกศิษย์ของซือ ไน่อานจึเรียงเขียนต่อจนจบสมบูรณ์หลัง กว้านจงคือผู้รจนานิยายเรื่องสามก๊กอันลือ ชื่อนั่นเองซ้องกั๋งเรื่องนี้จึงถือว่าเป็นฝีมือ ครูเป็นแบบอย่างของ สามก๊กอีกทีหนึ่ง การแสดง "เอ็งกอ - พะบู๊" การละเล่นเอ็งกอ เป็นตอนที่ขบวนนักรบ 108 คน ที่ต่างมีวิชาความสามารถเก่งกาจกันคนละอย่าง สองอย่าง ทั้งการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ไม้พลอง มีด การดำน้ำ การเดินป่าทางไกล การรักษาโรค ฯลฯ แต่งหน้าอำพลางตนเป็นนักแสดงขี่ม้าเข้าเมือง เพื่อไปช่วยซ้องกั๋งหัวหน้าของพวกตนการเขียน หน้าเพื่อปกปิดหน้าตาและทำให้ดูน่า เกรงขามของ เอ็งกอมีการเขียนลวดลายเฉพาะคนเหมือนการสวม หน้ากากทั้ง108คนเหมือนกับการสวมหัวโขนของคน ไทยในการแสดงไม่ว่าขบวนแห่เอ็งกอจะผ่านไปทาง ไหนจะสร้างความตื่นเต้นและความประทับใจในการ แสดงนี้ไปทั่วอันเกิดจากความเร้าใจจากเสียงตีไม้ คู่ของขบวน ผู้แสดงที่วิ่ง ผ่าน ไปอย่างรวดเร็ว ส่วน "พ๊ะบู๊" เป็นการแสดงการต่อสู้ด้วยอาวุธจีนโบราณ มักจะเป็นขบวนคู่แฝดของเอ็งกอในการแห่เจ้า ขบวนเอ็งกอ-พ๊ะบู๊ของนครสวรรค์ริเริ่มเล่นโดยนาย คอซัวแซ่เตียเมื่อพ.ศ.2490และได้รับความนิยม เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

ตำนานการแสดงเองกอพะบู๊ ภาค1

ตำนานเองกอพะบู๊เริ่มเมื่อแปดร้อยปีมาแล้ว ราชอาณาจักรจีน ในรัชสมัยพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เกิด โรคระบาดพรากชีวิตผู้คนไปเป็นอันมาก พระเจ้าซ้องยินหยินจงฮ่องเต้ทรงโปรด ให้อังซินขุนนางตำแหน่งไทอวยเดินทาง ไปอัญเชิญนักพรวิเศษเตียฮีเจ็งเชียนชือณสำนักวัดเขาเกาเล่งซัวมาช่วยหลังจาก บรรจุหน้าที่แล้วระหว่างทางขากลับอังซิน ผ่านตำแหน่ง เก๋ง แห่งหนึ่ง สลักชื่อไว้ว่า ตำหนักขังปิศาจ ด้วยความกระหายใคร่รู้ จึงแกะยันต์ที่ติดอยู่หน้าเก๋งทิ้งและ เปิด เข้าไปโดยพลการทันใดนั้นเองก็มีควันดำ พวยพุ่งออกมาทางประตูลอยขึ้นไปอยู่บน อากาศแล้วแตกกระจายแปดทิศที่แท้ใน เก๋งขังดวงจิตดาวทหารที่ดุร้ายถึงร้อย แปดคนชื่อดาว"เทียมกังแซ"36ชื่อดาว "ตีลัว"72รวม 108 ดวง ถูกขังมิ ให้ไปเกิด จากกลัวรบกวนไพร่ฟ้าประชาชนพลเมือง ให้ได้รับความ เดือดร้อน วิญญาณดุร้ายทั้งร้อยแปดดวงจึงได้โอกาสไปจุติ เป็น"ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน"

ประเภทของหัวสิงโต

ประเภทของหัวสิงโต
สิงโตของชาวจีนสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สิงโตเหนือ สิงโตใต้ ดังนี้ 1. สิงโตเหนือ เป็นการนำเอาสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง มาใช้เป็นต้นแบบในการสร้างหุ่นสิงโตให้มีขนยาว ขาเล็ก ร่างเล็กซึ่งผู้เชิดสิงโตต้องสวมชุดสิงโตที่มีขนยาวปกคลุม การเชิดสิงโตเหนืออาจเชิดคนเดียว หรือสองคนก็ได้ สิงโตเหนือ เรียกว่า สิงโตปักกิ่ง 2. สิงโตใต้ นิยมนำมาเชิดกันอย่างแพร่หลาย ในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) กว่างซี และฝูเจี้ยน(ฮกเกี้ยน) แต่ต่อมาภายหลังชาวจีนที่เคยอาศัยอยู่ทางใต้ของประเทศจีน รวมทั้งชาวจีนที่เคยฝึกหัดการเชิดสิงโต โดยเฉพาะ ผู้ที่เคยอยู่อาศัยภายในมณฑลกว่างตงหรือกวางตุ้งได้อพยพไปอยู่ยังภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก สิงโตกวางตุ้งจึงได้รับ การรู้จักกันอย่างแพร่หลาย แม้แต่ในประเทศไทยเองก็ได้รับรูปแบบการเชิดแบบกวางตุ้ง มาใช้เชิดอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้การเชิดสิงโตยังสามารถแบ่งออกตามรูปร่างลักษณะของหัวสิงโตที่กลุ่มชาวจีนแต่ละกลุ่มเป็น ผู้ประดิษฐ์ขึ้น ได้แก่ 1. สิงโตของชาวจีนแคระ หัวสิงโตมีลักษณะคล้ายกับบุ้งกี๋ ใบหน้าจะทาสีให้เป็นลายเขียว เหลือง แดง มีฟันซี่โต ๆ 2. สิงโตกวางตุ้ง หัวสิงโตแบบนี้อาจจะประดับประดากระจกที่หน้า มีการเขียนสีสันลวดลายลงบนหัว มีนอ ที่หน้าผาก และมีเคราที่คาง 3. สิงโตไหหลำ กลุ่มชาวจีนไหหลำได้มีการสร้างรูปหัวเสือขึ้นมาใช้แทนรูปหัวสิงโต ทำให้รูปหัวสิงโต ของกลุ่มชาวจีนไหหลำมีลักษณะแตกต่างจากชาวจีนกลุ่มอื่น ๆ อย่างเด่นชัด 4. สิงโตแต้จิ๋วหรือสิงโตปักกิ่ง หรือสิงโตกวางเจา มีลักษณะคล้ายกับหมาจู มีขนปุกปุย ตาโต มีโบว์ ที่ศรีษะ และติดกระดิ่งไว้ที่ใต้คาง เวลาที่ทำการแสดงอาจจะทำการแสดงสองตัวขึ้นไป

สีของหัวสิงโต

สีของหัวสิงโต
ชาวจีนใช้สีของหัวสิงโตเป็นเครื่องหมายแทนสัญลักษณ์ของบุคคล ทั้งยังแสดงถึงคุณลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ 1.หัวสิงโตสีเขียว เรียกว่า “ตั่วกง” หมายถึง เล่าปี่ ตัวละครเอกในเรื่องสามก๊ก ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แทน ความมีอำนาจหยิ่งในศักดิ์ศรี มีข้าทาสบริวารมาก 2. หัวสิงโตสีแดง เรียกว่า “ยี่กง” หมายถึง กวนอู ตัวละครในเรื่องสามก๊ก เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ โชคลาภ นักต่อสู้ 3. หัวสิงโตสีดำ เรียกว่า "ซากง" หมายถึง เตียวหุย ตัวละครสามก๊ก เป็นสัญลักษณ์แทนความหนักแน่น ความยุติธรรม การเอาชนะอุปสรรคนานานัปการที่ผ่านเข้ามาในชีวิต 4. หัวสิงโตสีเหลือง เรียกว่า “สี่กง” หมายถึง จูล่ง ตัวละครเรื่องสามก๊ก บางตำราก็แทนกวนเพ้ง เป็น สัญลักษณ์แทนผู้มีอำนาจ ยศศักดิ์

ประวัติความเป็นมาของการฝึกหัดเชิดสิงโต

ประวัติความเป็นมาของการฝึกหัดเชิดสิงโต
ในอดีตประเทศจีนมีการจัดตั้งคณะสิงโตขึ้น โดยคณะใหญ่ ๆ จะมีผู้เข้าร่วมอยู่ในคณะระหว่าง 70 - 80 คน โดยต้องใช้เวลาในการ ฝึกฝนการเชิดสิงโตไม่น้อยกว่า 3 ปี 6 เดือน จึงจะออกแสดงได้ ทั้งในคณะสิงโตก็ไม่ได้ ฝึกฝนการเชิดสิงโตแต่เพียงอย่างเดียว ยังมีการหัดมวยจีน กระบอง มีดสั้น ทวน ง้าว และอื่น ๆ เวลาออกแสดง ในแต่ละครั้งต้องใช้ลานที่มีความกว้างขวางมาก ๆ เพราะต้องทำการแสดงจับคู่ต่อสู้กัน ซึ่งการแต่งตัวนั้น ก็ยังมี ความแตกต่างกัน ที่สำคัญคณะสิงโตของจีนมีการพันแข้ง ที่เรียกว่า คาเกี๊ยว มัดตั้งแต่ข้อเท้า แล้วยังมีผ้าคาดเอว อีกด้วย ดังนั้นคณะสิงโตของชาวจีนในอดีตก็คือ คณะมวยหรือสำนักมวย ที่เรียกว่า “กุ่งอ๊วง” ซึ่งหัวสิงโตที่นำมาใช้ในการเชิดนั้น มีหัวเป็นสีเขียว คิ้วสีขาว ภาษาจีนเรียกว่า “แชไซแปะไบ๊” สิงโตแบบนี้เมื่อถูกนำไปเล่นในที่ ต่างถิ่นมักถูกเจ้าของถิ่นลองดี โดยการส่งนักมวยจีนหรือนักกระบี่กระบองมาขอซ้อมมือ ซึ่งถ้าเกิดต้องพ่ายแพ้แก่ เจ้าของถิ่น ผู้มาเยือนก็ต้องได้รับความอับอายเขา จนต้องรีบเดินทางกลับสำนักมวยของตน แต่ถ้าหากรักจะเล่นก็ ต้องส่งตัวแทนไปคำนับหัวหน้าคณะมวยเจ้าของถิ่นเสียก่อน จึงจะทำให้สามารถแสดงการเชิดสิงโตได้โดยไม่ต้อง ถูกเจ้าของถิ่นลองดี การเชิดสิงโตนั้นเป็นการเลียนแบบอากัปกิริยาของสัตว์ 2 ชนิด คือ 1. ชาวจีนที่อยู่ในเมืองทางเหนือของแม่น้ำฉางเจีย(แม่น้ำแยงซีเกียง)จะแสดงเลียนแบบอากัปกิริยาของ สุนัข 2. ชาวจีนที่อาศัยอยู่ทางใต้ของแม่น้ำฉางเจีย ได้นำเอากิริยาของแมวมาเป็นต้นแบบ การเชิดสิงโตในยุคแรกใช้ลีลาการร่ายรำเป็นหลัก หรือที่เรียกว่า ระบำสิงโต แต่หลังจากสมัยของราชวงศ์ชิง จึงค่อย ๆ ถูกหลอมรวมเข้ากับหลักวิทยายุทธ์ การเชิดสิงโตให้ดูสง่างดงาม มีชีวิตชีวา ต้องมีพื้นฐานในการเคลื่อนไหวที่แม่นยำ และมั่นคง คนเชิดสิงโตต้องรู้จังหวะการยกเท้า คือ เมื่อยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นก็จะเหลือหลักไว้ยืนเพียงเท้าข้างเดียว ในขณะที่อากัปกิริยาของสิงโตหรือราชสีห์ ไม่ว่าจะเป็นการกระโดด กลิ้งเกลือกหรืออื่น ๆ ก็ตาม หากผู้เชิดสิงโต ขาดความแข็งแกร่งของร่างกายส่วนล่าง ก็ย่อมไม่สามารถที่จะเชิดสิงโตให้ดูน่าเกรงขาม ว่องไว ปราดเปรียว ซึ่งท่วงท่าของการย่างเท้าที่ใช้ในการเชิดสิงโต ก็คือหลักของการใช้เท้าในการฝึกการต่อสู้ของจีน หรือ มวยจีนนั่นเอง

กีฬาเชิดสิงโต

กีฬาเชิดสิงโต
กีฬาเชิดสิงโต ถึงแม้จะมีกำเนิดจากประเทศจีน แต่กลับกลายเป็นกลุ่มประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นผู้ริเริ่มให้มีการแข่งขัน พร้อมจัดตั้งสหพันธ์กีฬามังกร สิงโตนานาชาติขึ้นมา เพื่อสร้างกติกาการแข่งขันในระดับนานาชาติ โดยมีแกนนำ คือ ประเทศมาเลเซีย

ประวัติการเล่นกีฬาเชิดสิงโตในประเทศไทย

ประวัติการเล่นกีฬาเชิดสิงโตในประเทศไทย
ในอดีตประเทศไทยเคยมีการจัดการแข่งขันความสามารถการเชิดสิงโตของคณะสิงโต ในรูปแบบลักษณะต่าง ๆ ทั้งนี้มักขึ้นอยู่กับความนิยมของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น เช่น การแสดงการต่อตัวโดยให้คนขึ้นไปยืนเหยียบอยู่บนบ่า หรือเหยียบศีรษะต่อกันขึ้นไปเป็นชั้น ๆ ระหว่าง 5 - 9 ชั้น การใช้ไม้กระบอกยาว ๆ (ประมาณ 5 เมตร) เจาะรูทะลุ ทางตอนปลายแล้วเอาไม้สอดเป็นขั้นไว้ สำหรับให้ขึ้นไปยืนต่อตัว แถมบางครั้งยังเอาเด็กเล็ก ๆ ขึ้นไปยืนบนบ่า แล้วแกล้งทำเด็กหล่นลงจากบ่า แต่คว้าขาไว้ทัน การไต่เสาไม้ไผ่ที่ทาด้วยน้ำมันลื่น เพื่อปีนขึ้นไปเอาเงินที่ผูกไว้ที่ ปลายเสา การพุ่งตัวรอดบ่วงไฟ เป็นต้น ปัจจุบันการแข่งขันกีฬาสิงโตของไทย ได้รับเอารูปแบบการแข่งขันกีฬา สิงโตแบบสากลเข้ามาใช้ในการแข่งขัน นั่นคือการเชิดสิงโตอยู่บนพื้น และการกระโดดขึ้นไปเชิดสิงโตอยู่บนเสา ต่างระดับหรือบนแป้นเสาดอกเหมย โดยแสดงการกระโดดที่ต้องใช้ท่าความยากง่ายผสมผสานไปกับจิตนาการของ ผู้เชิดสิงโต ที่ต้องการพยายามบอกเล่าเรื่องราวผ่านทางท่าทางหรืออากัปกิริยาของสิงโตที่แสดงออกมา ซึ่งปัจจุบัน การแข่งขันกีฬาสิงโตแบบสากลนี้ กำลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในประเทศไทย และในแต่ละปี ก็มีหลาย หน่วยงานได้จัดให้มีการแข่งขันขึ้นมาหลายรายการ ส่งผลให้คณะสิงโตของไทยมีพัฒนาการจนสามารถเข้าไปร่วม ทำการแข่งขันกีฬาสิงโตในระดับนานาชาติอยู่หลายคณะ

อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับกีฬาเชิดสิงโต

อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับกีฬาเชิดสิงโต
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นกีฬาเชิดสิงโต ได้แก่ กลอง, ฉาบ หรือแฉ, โล้หรือเง๊ง(มีรูปร่างเหมือนฆ้อง แต่แตกต่างกับ ฆ้องตรงที่ไม่มีปุ่มนูนตรงกลาง), หัวสิงโต นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชิดสิงโต ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นฉาก ที่ใช้ในการแสดง เปรียบเทียบแทนธรรมชาติต่าง ๆ ปัจจุบันอุปกรณ์แบบนี้มักเรียกกันว่า เสาดอกเหมยหรือโต๊ะ ที่ใช้ทำการแสดง ซึ่งทำจากเหล็กที่มีระดับของความสูงแตกต่างกันไป โดยให้บางส่วนสมมุติแทนภูเขา หุบเหว แม่น้ำ และสะพาน ตามจินตนาการที่ผู้เชิดต้องการแสดงบอกเล่าเรื่องที่ตนใช้ในขณะทำการแสดง อันเป็นวิธีการ สร้างความเข้าใจ ทั้งยังสื่อสารจินตนาการระหว่างผู้เชิดสิงโตกับผู้ชม ให้ได้รับอรรถรสในการเข้าชมการแสดง ตลอดจนบังเกิดความสนุกสนานร่วมไปกับผู้เชิดสิงโต

จำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชิกสิงโต มังกรทุกชนิด

จำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชิกสิงโต  มังกรทุกชนิด
จำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชิดสิงโต มังกรทุกชนิด อาทิ หัวสิงโต หัวมังกร กลอง แฉ เง้ง เสาดอกเหมย ชุดตาแป๊ะ อาซิ้ม ธงจีนนำตณะสิงโต เครื่องดนตรีจีน และอื่น ๆ สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ 0868379952

กติกาการแข่งขันสิงโตนานาชาติ

กติกาการแข่งขันสิงโตนานาชาติ
ทีมสิงโตที่เข้าร่วมแข่งขันต้องประกอบด้วยนักกีฬาที่ลงสนามแข่งขันไม่ต่ำกว่า 6 คน แต่ต้องมีจำนวนไม่เกิน 8 คน และอาจมีผู้รักษาความปลอดภัยในขณะที่ทำการแข่งขัน(ทำการแสดง)จำนวนไม่เกิน 4 คน เวลาที่ใช้ในการทำ การแสดงต้องไม่ต่ำกว่า 10 นาที แต่ต้องไม่เกิน 15 นาที โดยต้องทำการแข่งขันอยู่บนแป้นเสาดอกเหมยต่างระดับ การพิจารณาให้คะแนนจะพิจารณาจากเครื่องแต่งกาย มารยาท อุปกรณ์ การดำเนินเรื่อง รูปร่างสิงโต การประสาน การเคลื่อนไหวของเท้าผู้ที่เชิดสิงโตระหว่างส่วนหัวกับส่วนหาง ความสอดคล้องของมโหรีที่มีต่อลีลาการเชิดสิงโต การแสดงออกซึ่งอากัปกิริยาของสิงโต(กิริยาอาการตกใจ ร่าเริง โกรธ สงสัย หลับใหล และอื่น ๆ)และความสามารถ ในการเล่นท่ายากทางเทคนิค โดยแต่ละท่าที่ทำการแสดงนั้น มีระดับของคะแนนตามความยากง่ายของท่าที่ใช้แสดง หากผู้เชิดสิงโตสามารถแสดงท่าเทคนิคนั้น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ก็จะได้คะแนนในท่านั้น ๆ ไป แต่หากผู้เชิดสิงโตทำ การแสดงท่าเทคนิคนั้นซ้ำหลายครั้ง ก็จะได้รับคะแนนเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีการบวกรวมตามจำนวนครั้งที่ทำไป

การแข่งขันกีฬาเชิดสิงโต

การแข่งขันกีฬาเชิดสิงโต
การแข่งขันกีฬาสิงโตนั้นได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายในนานาประเทศมานานแล้ว โดยเฉพาะประเทศ ในกลุ่มที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้กีฬาสิงโตมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนก็จริง แต่ทว่ากลับ ไม่สามารถเผยแพร่กีฬาสิงโตของตนให้ออกไปได้อย่างกว้างไกล ตรงกันข้ามกับกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ กลับมีอิทธิพลต่อการเผยแพร่กีฬาสิงโตเป็นอย่างมาก ทั้งส่งเสริมให้มีการแข่งขันกีฬาเชิดสิงโต วางกฎระเบียบกติกาการแข่งขันกีฬาเชิดสิงโตขึ้น พร้อมจัดให้มีการแข่งขันกีฬาสิงโตขึ้นในหลายระดับ ดังเห็นว่า ในปัจจุบันหลายประเทศได้จัดให้มีการแข่งขันสิงโตนานาชาติขึ้น รวมทั้งประเทศไทยเองก็เคยจัดให้มีการแข่งขัน กีฬาสิงโตระดับนานาชาติหลายครั้ง ที่สำคัญคือ การจัดให้มีการแข่งขันกีฬาสิงโตชิงแชมป์โลกที่มักจัดการแข่งขัน ขึ้นในประเทศมาเลเซีย ซึ่งการแข่งขันที่จัดขึ้นทุกครั้งนั้นได้รับความสนใจจากประชาชนเข้าร่วมชมการแข่งขันเป็น จำนวนมาก แม้ต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูเข้าชมการแข่งขันในอัตราที่สูงก็ตาม ซึ่งจากความสนใจของประชาชนใน หลายประเทศ มิใช่แต่เพียงประชาชนที่อาศัยอยู่ภายในประเทศทางแถบเอเชียเท่านั้น แต่ก็ยังได้รับความสนใจจาก ประชาชนในทวีปอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และอื่น ๆ ดังเห็นได้จากการที่ประเทศเหล่านี้ได้ส่งคณะสิงโตของตน เข้าร่วมทำการแข่งขันในระดับนานาชาติอยู่บ่อยครั้ง จึงมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่อีกไม่นานการแข่งขันกีฬาสิงโต คงต้องถูกบรรจุเข้าร่วมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เนื่องจากความสนใจของคนทั่วโลกที่มีต่อกีฬาสิงโตอย่างมาก นั่นเอง

ประวัติการเชิดสิงโตในประเทศไทย

ประวัติการเชิดสิงโตในประเทศไทย
สิงโตที่เชิดอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันแม้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนก็ตาม แต่ทว่าที่แพร่หลายเข้ามาอยู่ในประเทศไทยทุกวันนี้ มิได้เป็นการนำเข้ามาของชาวจีน แต่คนไทยรับเอารูปแบบการเชิดสิงโตผ่านมาทางญวณ หรือ เวียดนาม โดยญวนได้รับแบบอย่างมาจากจีนอีกทอดหนึ่ง ก่อนนำเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทย ดังที่ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในพระราชพงศาวดาร ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ว่า องเชียงสือ (เจ้าญวน) ได้ฝึกหัดคนญวนให้เล่นสิงห์โตล่อแก้ว และสิงห์โตคาบแก้ว เพื่อใช้ในการเล่นถวายตัวแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา-โลก(รัชกาลที่ 1) ซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดให้มีการเล่นถวายหน้าพลับพลาที่ประทับ ในเวลาที่มีมหรสพแบบแผน ทำให้การเล่นสิงโตมีการเล่นเป็นประเพณีสืบจนถึงรัชกาลต่อ ๆ มา ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นได้ว่า การเชิดสิงโตในประเทศไทยมีมานานนับร้อยปี สิงโตที่คนไทยรู้จัก และได้เห็นการเชิดสืบมาถึงปัจจุบันนั้น เป็นสิงโตทางตอนใต้ ของประเทศจีน อันเป็นศิลปวัฒนธรรมของชาวจีนที่ฝึกฝนศิลปะกังฟู การเชิดสิงโตของประเทศไทยอาจแตกต่าง กับประเทศจีน ตรงที่คนจีนจะเชิดสิงโตเฉพาะในช่วงตรุษจีนเป็นสำคัญ ขณะที่คนไทยกลับนำสิงโตมาใช้เชิดกัน เกือบทุกเทศกาล และวันมงคลต่าง ๆ อาทิ วันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา วันแต่งงาน วันเกิด งานฉลองต่าง ๆ เป็นต้น